🟡 มองอนาคต NFT ในปี 2023 ตลาดแบบนี้ รอดหรือร่วง!

มองอนาคต NFT ในปี 2023 ตลาดแบบนี้ รอดหรือร่วง!

🌠 NFT กำลังอยู่ในช่วง “จุดที่ตลาดย่อตัวลงมาจนสุดขีด”

🏖️เรียกได้ว่าตลาดโทเคน NFT ได้ผ่านจุดพีคสุดขีดกันไปแล้วในช่วงปี 2021-2022 และในปัจจุบันก็กำลังอยู่ในช่วง “จุดต่ำสุดของความผิดหวัง (จุดที่ตลาดย่อตัวลงมาจนสุดขีด หรือ Trough of Disillusionment)” ตามทฤษฎีของ Gartner Hype Cycle กันแล้ว ถ้าเราอิงเทียบกับกราฟการซื้อขายของ NFT บน OpenSea

🏖️จริง ๆ แล้ว NFT นั้นเคยมีสถานะเป็นเพียงแค่ “Altcoin ที่มีรูปภาพติดตัวมาด้วย” ซึ่งการที่เราจะยกระดับตลาด NFT ขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งนั้นจำเป็นต้องมี Use case ที่สามารถจับต้องได้ในชีวิตจริง ซึ่งก็จะไปหมายถึงกลุ่ม NFT ที่สามารถผสมผสานเทคโนโลยี ศิลปะ วัฒนธรรม และความบันเทิงเข้าด้วยกันเพื่อดึงดูดคนหมู่มากได้

🌠ปริมาณการซื้อขาย NFT ที่หดตัวลง

🏖️ตลาด NFT ได้ไปเตะจุดสูงสุดแล้วเมื่อต้นปี 2022 และกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตปริมาณการซื้อขายหดหายอยู่ตั้งแต่กลางปี 2022 เป็นต้นมา เรียกว่าโดนกันหมดแทบทุกโครงการ NFT แถมช่วงหลัง ๆ มานี้ยังหนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งคาดว่าเป็นผลกระทบอีกต่อหนึ่งมาจากภาพรวมตลาดคริปโตที่ซบเซาในวงกว้าง

🌠ปัญหาค่าแก๊ส

🏖️ความป็อปของ NFT ในปีที่แล้วทำให้ความเคลื่อนไหวบนเชน Ethereum นั้นคึกคักขึ้นมาจนทำให้บล็อกเชนเกิดการแออัดและเกิดเป็น “สงครามค่าแก๊ส” กันไปในช่วงที่ NFT พีค ๆ  เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ค่าธรรมเนียมธุรกรรมพุ่งสูงขึ้งหลายเท่าจนผู้ใช้หน้าใหม่ต่างก็หันหนีกันจนหมด

🏖️และถึงช่วงหลัง ๆ มานี้ความเคลื่อนไหวบนบล็อกเชนจะเบาบางลงจนทำให้ค่าแก๊สถูกลงแล้ว พร้อมกับมีเทคโนโลยี L2 ต่าง ๆ ที่ช่วยลดค่าแก๊สโดยเฉลี่ยให้ถูกลงไปอีก แต่ก็ยังถือว่าไม่เพียงพอที่จะดึงกระแส NFT ให้กลับมาบูมเหมือนเก่าได้ในเร็ววันนี้

🌠 ยอดค้นหาบน Google หดหายตามยอดซื้อขายบน OpenSea

🏖️ตลาด NFT ยังได้รับผลกระทบจากแรงซื้อที่อ่อนตัวลงเพราะมีการปั่นราคากันไปแล้วหลายเดือน แถมยังมีเรื่องโครงการ NFT ก็อปปี้ ที่หากินกันแบบง่าย ๆ ไม่มีคอนเซปต์อะไรใหม่เกิดขึ้นมากนัก ผู้ใช้ทั่วไปเลยหนีหายกันหมด ซึ่งค่อนข้างน่าเศร้าเพราะว่าคนกลุ่มนี้ถือเป็นพลังสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนให้ NFT กลายเป็นที่ยอมรับในวงกว้างได้

🌠BAYC และ OpenSea มีจุดพีคที่เดือน พ.ค. 2022 จากนั้นก็ร่วงเรื่อย ๆ ทั้งคู่

🏖️ปีที่ผ่านมามีทั้งโครงการ NFT ที่ประสบความสำเร็จและโครงการที่เป็นเพียงแค่ของก๊อปปี้ แจกกันให้ฟรี ๆ จนทำให้สินค้า NFT ล้นตลาด ซึ่งพอเกิดเรื่องแบบนี้ ราคาของคอลเลคชัน NFT ในภาพรวมก็เลยปรับฐานลงไปด้วย และยังส่งผลกระทบเป็นทอด ๆ ไปจนถึงราคาเหรียญ Ethereum 

🏖️NFT ก็เหมือนกับเหรียญ Cryptocurrency อื่น ๆ ทั่วไป ที่ราคามีการเหวี่ยงขึ้นลงตลอดเวลา และกราฟมักมีการสะท้อนไปในทิศทางเดียวกันเป็นส่วนใหญ่ ตัวอย่างเช่นกราฟนี้ ที่ปริมาณการซื้อขายบน OpenSea และราคาต่ำสุดของ BAYC นั้นสอดคล้องไปในทิศทางขาลงพร้อม ๆ กัน (ปริมาณการซื้อขายลดลง-ราคาต่ำสุดลดลง)

🌠 ความสนใจในการเข้าซื้อ NFT ต่ำลง แต่ก็ยังทรงตัวได้ ไม่ได้ดิ่งจนน่ากลัว

🏖️ถึงหลายคนจะมองว่า NFT ได้ดิ่งลงมาหนักมาก แต่สาระน่ารู้ก็คือปัจจุบันมันยังถือว่าฮอตฮิตกว่าเมื่อตอน 18 เดือนที่แล้วอยู่อย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้จำนวนผู้ซื้อที่ไม่ซ้ำกันจะลดลงมาจาก ATH อยู่เยอะพอสมควร แต่ก็เรียกได้ว่ายังมีผู้ใช้โลดแล่นอยู่ในตลาดอยู่ตลอด  

🏖️ดังนั้นตลาด NFT จึงยังถือว่ามีพื้นที่ให้ทดลองและพัฒนานวัตกรรมอยู่อีกมาก เพียงแค่ต้องการให้ผู้สร้างสรรผลงาน แบรนด์ต่าง ๆ และชุมชนช่วยกันเข้ามาพัฒนาตรงนี้ ซึ่งคาดว่าถ้าสำเร็จน่าจะทำให้วงการ NFT กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งได้ไม่ยาก

🌠5 เทรนด์ NFT โอกาสเติบโตสูง ปีนี้มาแน่!

🌠1. NFT Finance เตรียมดังเป็นพลุแตก

🏖️เมื่อ NFT ถูก Mint ขึ้นมาแล้ว มันสามารถนำไปซื้อขายแลกเปลี่ยนได้อิสระไม่ต่างจากเหรียญคริปโต จนเกิดเป็นระบนิเวศใหม่ขึ้นมา เช่นการค้ำประกัน-กู้ยืม NFT โดยในปี 2022 ปริมาณการกู้ยืมโดยมี NFT ค้ำประกันได้พุ่งสูงถึง $500m เลยทีเดียว

🏖️โมเดลการกู้ยืม NFT หลัก ๆ มี 2 แบบคือ 1. peer-to-peer (NFTfi) ที่มีผู้กู้-ผู้ปล่อยกู้เพียงสองฝั่ง ส่วนเงื่อนไขต่าง ๆ ก็เป็นไปแบบโปร่งใส 2. peer-to-pool (BendDAO) ที่เป็น Liquidity pool เปิดให้ผู้กู้เข้ามาใช้งานแทนที่การทำสัญญาเป็นรายบุคคล (แบบที่สองมีความเสี่ยงเยอะกว่า แต่ว่าจะได้ผลตอบแทนดีกว่าและยังมี Liquidity ตลอดเวลา)

🌠2. ตลาดแลกเปลี่ยน NFT กลับมาแข่งขันกันได้สูสี

🏖️ตลาดซื้อขาย NFT อย่าง OpenSea นั้นเป็นธุรกิจที่ไม่ได้ผูกอยู่กับความสำเร็จของโครงการ NFT เพียงอย่างเดียว แต่จะได้กำไรจากการเติบโตของภาพรวมตลาดในกลุ่มนั้น ๆ เราจึงเห็นว่าปีที่แล้ว OpenSea มีรายได้สูงถึง $500m และเก็บค่าธรรมเนียมได้สูงถึง $1.8b

🌠 ในอดีต OpenSea เป็นเพียงตลาดเจ้าเดียวที่ครองส่วนแบ่งเกือบทั้งหมด แต่พอ NFT เติบโต ตลาดซื้อขายคู่แข่งหลาย ๆ เจ้าก็เริ่มเกิดขึ้นมา (เช่น  LooksRare, X2Y2, Magic Eden, และ Blur) ซึ่งได้ขนเอาจุดแข็งอย่างค่าแก๊สที่ถูกกว่า/มีส่วนแบ่ง (Royalties) ให้ผู้ขาย/แจกเหรียญหลักของแพลตฟอร์ม และในช่วงนี้การที่ปริมาณการซื้อขายลดลงไปอีกก็ไปทำให้ตลาด NFT เหล่านี้แข่งขันกันอย่างดุเดือด แชร์ส่วนแบ่งกันอย่างเข้มข้นมากขึ้น อย่างที่เห็นในกราฟ

🌠3. NFT เตรียมเกาะกระแสหลัก จับมือบริษัทยักษ์ใหญ่

🌠มีการมองว่า NFT จะได้รับความสนใจมากขึ้นในปี 2023 ผ่านเทรนด์หลัก ๆ ดังต่อไปนี้

🏖️ บริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่ของโลกกำลังเปิดใจรับ NFT

แพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง Instagram, Reddit, Apple และ YouTube กำลังพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อรองรับการใช้งานร่วมกับ NFT ให้ได้ในอนาคต โดยจะมีทั้งฟังก์ชัน สร้าง/ซื้อ/ขาย มาให้ครบ พร้อมทำงานเชื่อมต่อกับบล็อกเชนต่าง ๆ ทันที

แพลตฟอร์ม Web2 อื่น ๆ ที่ไม่ได้กล่าวถึงหลายเจ้าก็กำลังซุ่มพัฒนาระบบ NFT ของตัวเองขึ้นมาเหมือนกัน ซึ่งคาดว่าน่าจะเปิดตัวกันให้เห็นมากขึ้นในปี 2023  คาดว่าผู้ใช้งานทั่ว ๆ ไปน่าจะมีแนวโน้มที่เริ่มจะมี NFT เป็นของตัวเองกันผ่านบริษัท Web 2 พวกนี้ หรือถึงขั้นบางคนอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังใช้ NFT อยู่

🌠3.1 แบรนด์เนมชื่อดังกำลังนำ NFT มาใช้งาน

🏖️แบรนด์ดังอย่าง Nike, Adidas, Gucci, D&G, Tiffany & Co., และ Time ได้สร้างรายได้จากการขาย NFT ไปเยอะอยู่พอสมควรในปีที่แล้ว ซึ่งอาจไปทำให้บริษัทดังเจ้าอื่น ๆ มองเห็นโอกาสในการทำเงินในโลก Metaverse และอาจกระโดดเข้ามาลงเล่นด้วย เพราะ Web3 นั้นเป็นเหมือนกับพื้นที่ใหม่ที่เชื่อมต่อถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ง่ายยิ่งขึ้น

🏖️อย่างไรก็ตาม แบรนด์ต่าง ๆ ในปัจจุบันก็ควรรักษาฐานลูกค้าเก่าเอาไว้ด้วย เพราะว่าการจะสร้างฐานลูกค้าใหม่ในปัจจุบันนั้นมีต้นทุนที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ก็เริ่มแห้งแล้ง ถึงจุดอิ่มตัวกันซะเป็นส่วนใหญ่  Web3 จึงเป็นเหมือนทุ่งหญ้าสีเขียวสดใหม่ที่รอให้บริษัทที่มีความเข้าใจเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาผลิตภัณฑ์กันผ่านช่องทางใหม่นี้

🌠4. NFT — ว่าที่ Social token ตัวต่อไป

🏖️ Social token คือเหรียญที่ Influencer และ Creator เป็นผู้ส่งต่อไปให้กับชุมชนผู้ติดตามของตัวเองโดยตรง ตัวอย่างเช่นเทศกาลฟุตบอลโลกที่ผ่านมาก็มีการใช้งาน Fan token กับลูกค้า โดยผู้ที่ถือ NFT token นี้ก็จะได้รับส่วนลดต่าง ๆ ในการซื้อสินค้าของทางแพลตฟอร์มหรือมีสิทธิโหวตบนแพลตฟอร์มนั้น ๆ ซึ่งความฮอตฮิตก็ได้สะท้อนออกมาทางกราฟ On-chain ของเหรียญ Chiliz โดยตรงในช่วงบอลโลก ที่เป็นแพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนโดยการมีส่วนร่วมของแฟน ๆ และรางวัล

🏖️ ตัวอย่าง NFT social token: Steve Aoki's A0k1credit และ Cristiano Ronaldo's NFT collection

🌠5. เชื่อมสองโลกเข้าด้วยกันกับยุค “Phytigal (Physical+Digital)”

🏖️ NFT สามารถเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่เป็นตัวแทนของความเป็นเจ้าของได้ทั้งโลกจริงและโลกดิจิทัล ดังนั้นมันเลยสามารถใช้เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยทำให้เกิด Use case ใหม่ ๆ ขึ้นได้ในชีวิตจริง เช่นประสบการณ์ Augmented reality (AR) เฉพาะทางเป็นต้น

🏖️ ปี 2022ที่ผ่านมาเราได้เห็นว่าหลายบริษัทมีการทำสินค้า NFT ที่เชื่อมต่อกับทั้งสองโลก มีตัวตนอยู่ทั้งสองที่ (โลกจริงและโลก Metaverse) เช่นโครงการ  Nike AR hoodie ที่สามารถใส่ได้ทั้งในตัวละครใน Metaverse แบบดิจิทัล และยังไปรอรับสินค้าในชีวิตจริงได้อีก หรืออย่างเสื้อที่ฝังชิป NFC เอาไว้เพื่อรองรับการโยกย้าย NFT มาสู่ชีวิตจริง 

🏖️สินค้า “Phygital” เหล่านี้ได้เปิดขายมาสักพักหนึ่งแล้ว และยังมียอดขายรวมในปีที่แล้วถึงหลักหลายล้านดอลลาร์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความน่าสนใจในธุรกิจกลุ่มนี้อยู่ และอาจกลายมาเป็นเทรนด์หลักได้ในปี 2023 นี้

🌠เรื่องน่าทึ่งของ NFT ในปีที่ผ่านมา

🌠1.ระบบ NFT Royalties พังไม่เป็นท่า (ค่าลิขสิทธิ์)

🏖️คุณสมบัติเด่นอีกอย่างของ NFT คือการที่ผู้สร้างสรรค์ผลงานจะสามารถรับค่าลิขสิทธิ์เพิ่มเติมได้ (Royalties) ซึ่งถือเป็นช่องทางหาเงินอีกแบบหนึ่งที่ทำให้งานเก่า ๆ ยังสามารถสร้างรายได้แบบต่อเนื่องได้ ไม่ได้เป็นเพียงการขายครั้งเดียวแล้วจบอีกต่อไป

🏖️แต่น่าเสียดายที่การใช้ NFT Royalties ไม่ได้เป็นที่นิยมอย่างที่คิดและกำลังจะสูญหายไป เพราะเดี๋ยวนี้ตลาดซื้อ-ขาย NFT ต่าง ๆ นั้นไปทำให้ฟังก์ชัน Royalties กลายเป็นเพียงตัวเลือกเท่านั้น (เช่น Magic Eden) หรือไม่ก็ลบทิ้งออกไปเลย  เทรนด์เหล่านี้จึงไปทำให้การซื้อขาย NFT ที่มี Royalties ซบเซาลง จนทำให้ผู้สร้างสรรค์ผลงานต้องเจอกับแรงกดดันในการสร้างงานใหม่ขึ้นมาขายเรื่อย ๆ แทนที่จะได้นอนกินค่าลิขสิทธิ์แบบชิล ๆ

🌠 2. จุดพีคและจุดล่มสลายของ Solana NFT

🏖️Solana เป็นบล็อกเชนที่มีการเติบโตของ NFT เร็วที่สุดเจ้าหนึ่ง จนสามารถขึ้นเป็นยักษ์ใหญ่อันดับ 2 ในโลก NFT ได้ในเวลาไม่นาน ด้วยปริมาณการซื้อขายที่ราว ๆ 1 ส่วน 6 ของ NFT บน Ethereum

🏖️ตลาดชื่อดังบน Solana ก็คงหนี้ไม่พ้น Magic Eden ที่มีฐานผู้ใช้งานเติบโตอย่างรวดร็ว จนสามารถไปเทียบกับคู่แข่งเจ้าใหญ่อย่าง OpenSea ได้เลย

🏖️วิกฤตต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับ Solana ในเร็ว ๆ นี้อย่างการล่มสลายของ  FTX/Alameda และการที่ราคาเหรียญ SOL ตกอย่างหนักก็เป็นอีกแรงกระตุ้นที่ทำให้โครงการ NFT บน Solana ปั่นป่วนจนถึงขั้นที่โครงการต่าง ๆ ทยอยกันหนีออกไปซบบล็อกเชนอื่น ๆ แต่ผลสุดท้เายจะเป็นอย่างไรนั้นก็คงต้องติดตามดูกันต่อไป

🌠 3. NFT Music ยังเป็นของเฉพาะทางอยู่ ยังไม่ติดลมบน

🏖️Music non-fungible tokens (NFTs) มียอดเติบโตอย่างก้าวกระโดดมากในช่วงต้นปี 2022 แต่หลังจากนั้น ความเคลื่อนไหวก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง เหลือแค่เพียงผู้ใช้เฉพาะกลุ่มเท่านั้น

🏖️ NFT Music คงจะต้องใช้เวลาอีกหลายปีในการกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง เพราะในปัจจุบัน ค่ายเพลงและผู้จัดจำหน่ายยังคงมีอำนาจเหนือกว่าอยู่อย่างเห็นได้ชัด ซึ่งในปัจจุบัน การสะสม Music NFT นั้นยังถือเป็นเรื่องใหม่อยู่ และต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ตัวเอง แต่ในอนาคตคาดว่ายังไงเทรนด์นี้ก็ต้องมาแน่

🌠 ภาพที่วาดฝันของโลกในอนาคต (ระยะยาว)

🌠ทุก ๆ สิ่งจะถูกทำให้เป็นเหรียญคริปโตฯ (Tokenized)

🏖️NFT เปิดโอกาสสู่การพิสูจน์การเปนเจ้าของได้แบบง่าย ๆ โดยไม่ต้องเสียค่าดำเนินการมากมายอย่างในปัจจุบัน

🏖️1.สินทรัพย์ในชีวิตจริงจะถูกแทนที่ด้วยการใช้ NFT บนโลกบล็อกเชน เปิดประตูสู่โอกาสในโลก DeFi เช่นการแยกส่วนกองเงินและนำไปค้ำประกันเงินกู้บนบล็อกเชนที่รองรับ

🏖️2.ในอนาคต สถาบันการศึกษาต่าง ๆ อาจออกใบรับรองผลให้ในรูปแบบ NFT หรือแม้แต่ Soulbound token แบบใหม่ ช่วยให้ข้อมูลส่วนตัวของเราถูกบันทุกไว้บนบล็อกเชน ผ่านระบบที่ไร้ตัวกลาง และสามารถพกติดตัวไปได้ทุกที่

🌠สินค้าดิจิทัลเอาชนะสินค้าในชีวิตจริง (ตัวอย่าง: Roblox)

🏖️ โลก Metaverse เริ่มเข้ามามีบทบาทกับชีวิตของเรามากขึ้นผ่านทางเทคโนโลยีที่พัฒนาไป เด็กยุคใหม่ ๆ อย่าง Gen Z และ Gen Alpha จะเริ่มชินกับการใช้เทคโนโลยีและการครอบครองสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น เช่นอย่างในเกม Fortnite และ Roblox ที่ทำยอดขายเครื่องแต่งกายบนโลกเสมือนได้สูงถึง $40B ต่อปี ซึ่งในภายภาคหน้า คาดว่า NFT ก็จะเข้ามามีส่วนร่วมกับตรงนี้ได้แน่นอน

🌠สรุปส่งท้าย

🌠NFT จะไม่ได้มีชื่อว่า NFT อีกต่อไป

🏖️NFT เป็นชื่อเชิงเทคนิคทางบล็อกเชนที่อาจไม่ได้มีความหมายมากนักกับผู้คนกลุ่มใหญ่ และอาจใช้เรียกหมดหมู่ของ NFT ได้ไม่หมดด้วยซ้ำ ช่วงหลัง ๆ มานี้เราจึงเริ่มเห็นการใช้คำว่า “Digital collectible (ของสะสมดิจิทัล)” แทน ที่มีต้นกำเนิดมาจาก Reddit และในปีต่อ ๆ จากนี้ อาจมีคำศัพท์อื่น ๆ เกิดใหม่ที่จะกลายเป็นชื่อตัวแทนของ NFT ก็ได้  ให้ลองคิดซะว่าเหมือนกับคำว่า “อินเทอร์เน็ต” ที่คนในยุคแรก ๆ จะเรียกกันว่า TCP/IP แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้มีใครใช้ชื่อนี้เรียกกันอีกต่อไป

🌠สรุปส่งท้าย

🏖️Non-fungible tokens (NFTs) ราคาแกว่งไปมาหนักมากในปีที่แล้ว จนถึงขั้นที่มีบางโครงการแทบไปต่อไม่ไหวกันเลยทีเดียว  แต่อย่างไรก็ตาม พลังในการพัฒนาและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ต่าง ๆ ยังคงวนเวียนอยู่ในโลก NFT และมีแววที่จะพัฒนาต่อไปได้อีก โดยเฉพาะเมื่อตอนที่ที่ผู้คนมีความรู้มากขึ้น รับรู้ถึงความสามารถของ NFT ได้มากขึ้นกว่านี้  อย่างบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างก็เริ่มลงมาเล่นในโลก NFT กันแล้วอย่างที่เห็นกัน เพราะมองว่าพื้นที่แห่งนี้มีโอกาสเติบโตจนกลายเป็นอุตสาหกรรมหลายแสนล้านได้  NFT จึงถูกมองว่าเป็นประตูสู่การเปลี่ยนแปลงและยอมรับเทคโนโลยีบล็อกเชนครั้งสำคัญในอนาคต นำพาสิ่งใหม่ ๆ มาสู่ผู้คนทุกคน

PubBit Thailand logo
Subscribe to PubBit Thailand and never miss a post.
#pubbit#nft#cryptocurrency
  • Loading comments...